ปารีฮัท รีสอร์ท เกาะสีชัง Paree Hut
ที่พักสุดฮิบ สไตล์ธรรมชาตินิยม ริมทะเลกว้าง ฟังเสียงคลื่นกระทบผา ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า กระโดดผาว่ายน้ำ หรือจะนอนเล่นชิวๆ ก็ได้ ไม่ว่ากัน ความสุขสนุกสนานความสงบ และความเป็นส่วนตัวในแนวที่แตกต่าง... ปารี ฮัท เกาะสีชัง แค่ 115 ก.ม. จากกรุงเทพฯ
วีดีโอแนะนำ
กิจกรรมสุดฮิป...น่าลอง!!
ขอขอบคุณที่มาจาก http://www.teawtourthai.com และ http://www.youtube.com
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ปารีฮัท...กระท่อมริมฝา มีน้ำกับฟ้าเป็นเพื่อน
สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดใน เกาะสีชัง มีชื่อว่า ปารีฮัทเป็นที่พัก สไตล์ธรรมชาตินิยม ติดริมทะเลกว้างวิวสวยงามมากสามารถชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แถมด้วยกระโดดผาว่ายน้ำ เสียวสุดๆ นอนฟังเสียงคลื่นกระทบผา ปารีฮัท เกาะสีชัง ห่างจากจากกรุงเทพฯ แค่ 115 ก.ม. เท่านั้นเอง ท่านใดอยากไปหาสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักผ่อนที่ให้บรรยากาศโรแมนติกแบบนี้เชิญเลยค่ะที่ปารีฮัท สำโรงเลื้อย เกาะสีชัง โทร 087-903-4300
ห้องอาหารปารี ฮัท
ห้องอาหารเปิดให้บริการสำหรับแขกที่มาพักและบุคคลภายนอกตั้งแต่เวลา 7.30 น. ถึง 22.00 น. (ครัวปิดเวลา 21.00 น.)โดยให้บริการอาหารไทยและอาหารทะเลเป็นหลัก
สำหรับผู้ที่ซื้อแพ็กเกจของ ปารี ฮัท อาหารในแพ็กเกจจะมี 3 มื้อ การเสิร์ฟอาจเป็นเซ็ตสำหรับบุคคล หรือจัดเป็นเซ็ตสำหรับครอบครัว หรือบุฟเฟต์ ขึ้นอยู่กับจำนวนแขกที่มาพักไม่มีบริการส่งอาหารและเครื่องดื่มที่ห้องพัก
กิจกรรมบนเกาะ
+ นอนเปล นั่งอาบแดด + โดดผา ว่ายน้ำทะเล + ตกปลา ตกหมึก + ดำน้ำดูปะการัง + พายเรือคายัค + ขับรถเอทีวี + ปีนป่ายภูเขา+ จักรยานเสือภูเขา + มอเตอร์ไซด์ + ล้อมวงบาบีคิว + ท่องเที่ยวรอบเกาะไปกับรถสกายแล็บ
ราคาห้องพัก
วันธรรมดา(จันทร์-ศุกร์ เฉพาะลูกค้า walk in) อาหารเช้า / 2 ท่าน
กระท่อมพัดลม 2,200 บ. / หลัง
กระท่อมแอร์ ..2,400 บ. / หลัง
บ้านพักรับรองแอร์ 5,500 บ. / หลัง อาหารเช้า / 4-5 ท่าน
เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดพิเศษเป็นแพคเกจ แพคเกจประกอบด้วย อาหารทะเล 3 มื้อ + บาร์บีคิวซีฟู้ด
วันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ (แพคเกจ)
กระท่อมพัดลม 2,200 บ. / 1 ท่าน
กระท่อมแอร์ ..2,400 บ. / 1 ท่าน
วันเสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุดพิเศษ
กระท่อมพัดลม 2,500 บ. / 1 ท่าน
กระท่อมแอร์ ..2,700 บ. / 1 ท่าน
เทศกาลพิเศษและวันหยุดนักขัตฤกษ์
* เพิ่ม 500 บ. / ท่าน
เต็นท์ แพคเกจ อาหารซีฟู้ด 3 มื้อ + บาร์บีคิวซีฟู้ด
วันจันทร์ - ศุกร์ 1,100 บ. / ท่าน
วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ 1,400 บ. / ท่าน
เต้นท์ ประกอบด้วย อุปกรณ์เครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว แชมพู ครีมอาบน้ำ น้ำดื่ม โคมไฟ พัดลม ปลั๊กไฟ (ควรนำไฟฉายส่วนตัวไปเอง) เทศกาลพิเศษและวันหยุดนักขัตฤกษ์* เพิ่ม 200 บ. / ท่าน
***เช็คอิน เวลา 14.00 น. และเช็คเอาท์ เวลา 11.00 น.
เวลาสำรองห้องพัก 7.00 น. - 20.00 น.ที่ 087-903-4300
การจองและการยกเลิกห้องพัก
กรุณาสำรองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 15 - 30 วันกรุณาโอน
ชำระเงินมัดจำ 50% ที่บัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขา ห้วยขวาง
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 176-472-8463
ชื่อบัญชี ห้างหุ้นส่วนสามัญ ปารี ฮัท
ห้องจะไม่ถูกจองจนกว่าทาง ปารี ฮัท จะได้รับเงินโอนจากท่าน และยืนยันชื่อ วันที่ จำนวน ผู้เข้าพัก
โดย Fax. 02-277-6466 - 7 หรือ SMS ที่ 087-903-4300
หากท่านมีความจำเป็นต้องยกเลิกการจองกรุณาแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน เราจะคืนเงินค่าจองห้องพัก โดยจะหักค่าดำเนินการ 30% ของจำนวนเงินที่โอนมาทั้งหมด กรณีที่แจ้งยกเลิกการจองภายใน 7 วัน จะไม่มีการคืนเงินให้ ไม่ว่ากรณีใดๆ การเปลี่ยนแปลงวันเข้าพัก กรุณาแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
วิธีการสั่งจองห้องพัก
ตรวจสอบวันที่ต้องการพัก แล้วโทรสั่งจองห้องพักล่วงหน้า
มากกว่า 15 วัน ที่เบอร์โทรศัพท์ 087-903-4300 (AIS)
หากห้องว่าง ให้ดำเนินการโอนเงิน 50% ของค่าที่พักทั้งหมด
http://pareehut.com/contact.php
หากมีข้อสงสัยอื่นๆ สามารถสอบถามผ่าน Facebook ได้ที่
http://www.facebook.com/pareehutresort
ข้อควรรู้และข้อควรระวัง
น้ำไฟมีค่า โปรดช่วยกันประหยัด ปัจจุบันเรามีไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สถานที่พักของเราอยู่บนหน้าผาและไม่มีราวกั้น จึงอาจจะเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสำหรับ
เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้
เพื่อให้การมาเที่ยวที่ ปารี ฮัท มีแต่ความสุขสนุกสนานสำหรับแขกทุกท่าน กรุณาอย่าส่งเสียง
ดังเกินควร หรือทำอะไรที่เป็นการรบกวนแขกท่านอื่นๆ
กรุณาบริโภคอาหารและเครื่องดื่มภายในบริเวณห้องอาหารเท่านั้น
โปรดช่วยกันรักษาธรรมชาติและความสะอาด เราจะได้มีที่ดีๆ ไว้มาเที่ยวกันนานๆ
รายละเอียดการเดินทาง
กรุงเทพ - เกาะลอย ศรีราชา
รถยนต์ส่วนตัว สามารถขับตรงไปที่ท่าเรือเกาะลอยและสามารถ
จอดรถไว้ที่ลานจอดรถข้างศูนย์ประชาสัมพันธ์เกาะลอยข้างบริเวณ
ศาลเจ้าแม่กวนอิมได้ฟรี หรือ ฝากรถในตัวเมืองศรีราชาได้ที่
AP PARKING (เสียค่าจอด สอบถาม 038-325652)
รถโดยสารประจำทาง ขึ้นรถจากสถานีขนส่งเอกมัยไปศรีราชา
ลงรถที่หน้าห้างโรบินสันศรีราชาแล้วต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
หรือสามล้อเครื่องมายังท่าเรือเกาะลอย
เกาะลอย ศรีราชา - เกาะสีชัง
ขึ้นเรือโดยสารจากท่าเรือเกาะลอยศรีราชาไปเกาะสีชัง มีเรือบริการ
ทุกวันระหว่างเวลา 07.00-20.00 น. โดยจะออกทุก ๆ ต้นชั่วโมง
ใช้ระยะเวลาประมาณ 40 นาที อัตราค่าโดยสาร คนละ 40 บาท
เมื่อถึงเกาะสีชังแล้วต่อรถสกายแล็ปไปที่ ปารี ฮัท ค่ารถประมาณ
150 บาท นั่งได้ 4 -5 คน
เกาะสีชัง - เกาะลอย ศรีราชา
ขึ้นเรือโดยสารที่ท่าเรือเทศบาลหน้าเกาะ มีเรือโดยสารบริการตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00-18.00 น. โดยเรือออกทุก ๆ ต้นชั่วโมง
***สอบถามรายละเอียดเรื่องเรือข้ามเกาะเพิ่มเติมได้ที่เรือสีชังพาเลซโทร. 038-216276-82 หรือ เรือแสงประทีปบริการ โทร. 038-313687
![]() |
รูปทิ้งท้ายละกัน ^^ ...น่าไปเนอะ |
ขอขอบคุณที่มาจาก http://www.pareehut.com
พิพิธภัณฑ์ ริบลีย์ (พัทยา)
ในปีค.ศ.1929 ชื่อของโรเบิร์ต ริบลี่ส์ เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวอเมริกัน ในฐานะของนักเขียนการ์ตูนอิสระ และเจ้าของ เรื่องราวสิ่งแปลกประหลาดเหลือเชื่อ แต่อีก 4 ปีให้หลังชื่อเสียงเขากลับดังมากขึ้นเมื่อเขาหันมาเปิดพิพิธภัณฑ์ " Ripley's ... Believe or Not !!! "
โรเบิร์ต ลีรอย ริบลี่ส์ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1893 ในวันคริสต์มาสที่เมืองซานตา โรซ่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ตลอดชั่วชีวิตของเขาหลงใหลอยู่กับการเดินทางเขาเหยียบย่ำมาแล้วถึง 198 ประเทศระยะทางการเดินทางเท่ากับการเดินทางรอบโลกถึง 18 รอบเขาบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบลงในคอลัมพ์ประจำหนังสือต่างๆ และเมื่อเขาอยู่ในประเทศจีนเขารู้สึกหลงใหลดู เหมือนกับอยู่ในบ้านของตัวเอง ชื่นชอบในวัฒนธรรม และความแปลกประหลาดของแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่แห่งนี้และตัว ของเขาเองยังได้สะสมสิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายที่เขาได้พบเห็น หรือสิ่งเหลือเชื่อต่างๆที่เขาได้พบเห็นนำมาจัดแสดงโชว์ ให้กับผู้คนทั่วไปได้รับชมและ เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางอันยาวนานของเขาให้กับผู้อื่นได้รับรู้อีกด้วย...
พิพิธภัณฑ์ริบลี่ส์ เชื่อหรือไม่ ในประเทศไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2538 ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้ารอยัล การ์เด้น พลาซ่าพัทยาใต้ โดยครั้งแรกเกิดขึ้นที่สหรัฐ และประเทศไทยเป็นประเทศที่ 22 ซึ่งภายในของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวของสิ่งแปลกๆ พิสดารมากมายกว่า 300 ชิ้น และถูกจัดแสดงไว้ในห้องต่างๆกว่า 10 ห้องเลยทีเดียว...
พิพิธภัณฑ์ริบลี่ส์ เชื่อหรือไม่! ที่ศูนย์การค้ารอยัล การ์เด้น พลาซ่า พัทยาใต้ มีการจัดแสดงเรื่องราวอาทิเช่น
1.ห้องสะสมของแปลก เป็นห้องแรกที่แสดงเรื่องราวและสิ่งของพิสดารที่เก็บรวบรวมไว้จากทั่วโลก อาทิเช่น โต๊ะบิลเลียดขนาดจิ๋วงานปฎิมากรรมจากถุงกระดาษ และ มร.โรเบิร์ต ริบลี่ส์แม้เขาจะเสียชีวิตไปกว่า 50 ปีก็จะมากล่าวทักทายกับคุณๆผู้ชมอีกด้วย
2.ห้องภาพมายาลวงตา เป็นห้องที่นำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์และภาพลวงตามาประยุกต์และนำเสนอคุณ
3.ห้องสัตว์และมนุษย์พิศวง เป็นห้องที่รวบรวมเอาเรื่องราวที่เหลือเชื่อของมนุษย์และบรรดาคนดังในอดีต รวมทั้งสัตว์ที่แปลกตา เช่น หลิวชุง ชายผู้มีลูกตา4 ลูกในดวงตา, ชายที่สูงที่สุดในโลก, และม้าสามขาตัวเดียวในโลก และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย
4.ห้องชนเผ่ายุคโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงเอาของพิสดารในยุคโบราณเช่น หัวคนย่อส่วนจากเอกวาดอร์, ส้อมกินคนของเผ่าฟิจิ
5.ห้องเครื่องมือทรมานยุคโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงเครื่องมือและกรรมวิธีทรมานผู้คนในสมัยโบราณ หรือวิธีทรมานผู้คนในสมัยอดีตซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีเครื่องมือชนิดต่างๆ เหล่านี้อยู่บนโลก เช่น การทรมานเหยื่อของโจรสลัด, กับดักที่ใช้จับคนในอังกฤษ
6.ห้องแสดงวินาศภัย เป็นห้องที่จัดแสดงเอาอุบัติภัยต่างๆที่สำคัญ ในอดีตที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เช่นเรือไททานิคจำลอง
7.ห้องยานพาหนะอย่างเหลือเชื่อ เป็นห้องที่จัดแสดงเกี่ยวกับความแปลก เหลือเชื่อของยานพาหนะแบบไม่ธรรมดา เช่น ยางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, รถกลายเป็นเรือ และอื่นๆอีกมากมาย
8.ห้องปลาฉลาม เป็นห้องที่จัดแสดงรวบรวมเรื่องราว ต่างๆของปลาฉลาม และเรื่องราวอันน่าทึ่งมากมายของมัน
9.ห้องโลกลึกลับใต้ทะเล เป็นห้องที่จัดแสดงเรื่องราวเหลือเชื่อพิสดารที่เราไม่คาดว่าจะมีในมหาสมุทร ได้นำมาแสดงไว้ในห้องนี้ อาทิเช่น ปลาฉลามที่เล็กที่สุดในโลก, ฟอสซิลปลาฉลามยักษ์ ซากสัตว์เลื้อยคลานในยุคโลกล้านปี
10.ห้องอุโมงค์พิศวง เป็นห้องที่จัดแสดงให้คุณพบกับความพิศวงของอุโมงค์ ที่จะลวงความรู้สึกของคุณให้สับสนกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของคุณว่าสิ่งที่คุณเห็นนั้น เท็จหรือจริงกันแน่หากคุณพร้อมที่จะมาพิสูจน์
นอกจากนี้บนชั้น 3 ของศูนย์การค้า รอยัล การ์เด้น พลาซ่าเมืองพัทยายังประกอบไปด้วย
Ripley's 3D + Moving Theater... โรงภาพยนตร์แห่งอนาคตในระบบ 3 มิติ ด้วยที่นั่งไฮ-เทค พิเศษเคลื่อนไหวได้ 8 ทิศทาง จอภาพยักษ์ 70 มม.
พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง ทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับว่าได้ผจญภัยในเหตุการณ์จริงๆ เช่นการตกจากตึกระฟ้า ล่องแก่งในสายน้ำเชี่ยว ราคา 200 บาท
Ripley's Laser Trek... เกมส์ดวลปืนอวกาศ มิติใหม่แห่งความสนุก ด้วยปืนเลเซอร์ เสื้อเกราะและเอ็ฟเฟคต่างๆ เหมือนคุณอยู่ในสมรภูมิรบจริง
ในอวกาศซึ่งสามารเล่นได้มากถึง 20 คน ปืนและเสื้อเกราะถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละคนจะได้คะแนนแห่งความแม่นยำเมื่อจบเกมส์ ราคา 100 บาท
Ripley's Laser Bump... รถบั๊ม ไร้ขีดจำกัด สนุกสนานเร้าใจไปกับรถบัมพ์ ความมันส์ที่ไม่ติดเบรคความสนุกที่ต้องลอง ราคา 50 บาท
ภาพและข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.sattahipbeach.com/ ขอขอบคุณอย่างสูงมา ณ. ที่นี้
Ripley's Winzone... เพลินไปกับความสนุกของครอบครัว หลากหลายรูปแบบความท้าทาย ด้วยเครื่องเล่นล่าสุด และตู้เกมส์รุ่นใหม่ล่าสุด
![]() |
แผนที่พิพิธภัณฑ์ |
ภาพและข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.sattahipbeach.com/ ขอขอบคุณอย่างสูงมา ณ. ที่นี้
Palio เขาใหญ่ ท่องเที่ยว ปาลิโอ เขาใหญ่
Palio เขาใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปแหล่งใหม่ของคนอินเทรนด์ ที่ต่อยอดมาจาก Primo Posto (พรีโม พอสโต) หลังจากชื่อ Primo Posto
Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ก้าวแรกที่ได้ไปสัมผัส Palio เขาใหญ่ แอบคิดในใจเล่นว่า “นี่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงประเทศอิตาลีเลยเหรอเนี่ย” ก็แหม บรรยากาศมันพาไปจริง ๆ ประหนึ่งว่า กำลังเดินอยู่กลางกรุงโรม ^_^ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง “รางวัล” อีกด้วย
และถ้าเดินลั้ลลาสำรวจไปเรื่อยจะพบว่า ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันประมาณ 120 ร้าน มีสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง, งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spa ร้านขายยา ร้านขายหนังสือ ศูนย์อาหาร ร้าน IT ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่
อีกทั้งยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ แบบเน้น ๆ ที่นี่ก็มีบริการห้องพักแบบบูติคโฮเทล จำนวน 10 ห้อง บริการในรูปแบบ Bed & Breakfast (Palio B&B)
นั่นแน่ ๆ เริ่มอยากแวะเวียนไปสัมผัสบรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยนแบบนี้แล้วใช่มั้ยล่ะ ขอบอกว่าไปได้เลยค่ะ เพราะที่ Palio เขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น.แถมยังไม่เสียค่าเข้าชม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ทััั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 044-297-730, 044-297-731 โทรสาร: 044-297-741 e-mail: info@palio-khaoyai.com
ขอบคุณที่มาจาก http://teawtourthailand.com/palio-kaoyai
Palio เขาใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปแหล่งใหม่ของคนอินเทรนด์ ที่ต่อยอดมาจาก Primo Posto (พรีโม พอสโต) หลังจากชื่อ Primo Posto
Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ก้าวแรกที่ได้ไปสัมผัส Palio เขาใหญ่ แอบคิดในใจเล่นว่า “นี่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงประเทศอิตาลีเลยเหรอเนี่ย” ก็แหม บรรยากาศมันพาไปจริง ๆ ประหนึ่งว่า กำลังเดินอยู่กลางกรุงโรม ^_^ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง “รางวัล” อีกด้วย
และถ้าเดินลั้ลลาสำรวจไปเรื่อยจะพบว่า ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันประมาณ 120 ร้าน มีสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง, งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spa ร้านขายยา ร้านขายหนังสือ ศูนย์อาหาร ร้าน IT ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่
อีกทั้งยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ แบบเน้น ๆ ที่นี่ก็มีบริการห้องพักแบบบูติคโฮเทล จำนวน 10 ห้อง บริการในรูปแบบ Bed & Breakfast (Palio B&B)
นั่นแน่ ๆ เริ่มอยากแวะเวียนไปสัมผัสบรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยนแบบนี้แล้วใช่มั้ยล่ะ ขอบอกว่าไปได้เลยค่ะ เพราะที่ Palio เขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น.แถมยังไม่เสียค่าเข้าชม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ทััั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 044-297-730, 044-297-731 โทรสาร: 044-297-741 e-mail: info@palio-khaoyai.com
ขอบคุณที่มาจาก http://teawtourthailand.com/palio-kaoyai
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
เปิดแล้ว……พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก แหล่งท่องเที่ยวใหม่ จ.นครปฐม
ผอ.อังคณา พุมผกา ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม ร่วมแสดงความยินดีกับ รศ.ปรีชา ปั้นกล่ำ ผอ.พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก เนื่องในโอกาสเปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูกอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 เมษายน 2555
“พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก” อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม..เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวระหว่างมนุษย์กับนกฮูก (Owl) ซึ่งมีที่มาจากการเล่านิทานก่อนนอนเคล้าคลอกับเสียงของนกฮูกในยามค่ำคืน เป็นแรงบันดาลใจของการเริ่มต้นสะสมผลงานศิลปะการออกแบบที่ได้จากนกฮูกในรูปแบบต่างๆ จากทั่วภูมิภาคของไทยและนานาประเทศ โดยมีการจัดวางติดตั้งชิ้นงานไว้อย่างน่าชมและศึกษา
นกฮูก(Owl) เป็นสัตว์ที่มีสายพันธ์เชื่อมโยงกับมนุษย์มาอย่างยาวนานด้วยความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศพื้นถิ่น อาศัยความรู้ความเข้าใจในมิติที่แตกต่างกัน ด้วยคุณลักษณะพิเศษของนกชนิดนี้ คือดวงตาคู่โตที่สามารถมองทะลุผ่านความมืดในเวลากลางคืน จึงกลายมาเป็นสัญญาลักษณ์แห่งปัญญาของนักปราชญ์....
ภายในพิพิธภัณฑ์มีห้องเรียนรู้ศิลปะการออกแบบทั้งเด็กและผู้ใหญ่ Owl Art Museum Shop ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกร้านเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีการจัดตลาดนัดคนรักนกฮูกทุกวันเสาร์สัปดาห์แรกของเดือนของทุกอย่างที่นำมาจำหน่ายเป็นของที่มีการออกแบบจากนกฮูกเท่านั้น
พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก ตั้งอยู่ที่ 10/3 ม.1 ต.ไทยาวาส อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เปิดให้ชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 3433 9721, 08 9254 7366, 08 1809 6867 หรือ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม โทร.0 3475 2847-8 , Facebook Fan Page : TAT Samut Songkhram
Credit : http://www.tiewpakklang.com/index.php?id=1191
อาณาจักรสุโขทัย หรือ รัฐสุโขทัย (อังกฤษ: Kingdom of Sukhothai) เป็นอาณาจักร หรือรัฐในอดีตรัฐหนึ่ง ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม เป็นชุมชนโบราณมาตั้งแต่ยุคเหล็กตอนปลาย จนกระทั่งสถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโว้ หลังจากนั้นราวปี 1800 พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง ได้ร่วมกันกระทำการยึดอำนาจจากขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งทำการเป็นผลสำเร็จและได้สถาปนาเอกราชให้สุโขทัยเป็นรัฐอิสระ และมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับและเพิ่มถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก่อนจะค่อยๆตกต่ำ และประสบปัญหาทั้งจากปัญหาภายนอกและภายใน จนต่อมาถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด
งานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีท้องถิ่นของชาวอีสาน ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และ ความเชื่อทางศาสนาของชาวอีสานมาช้านาน โดยเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลปักดำทำนา จะต้องจุดบั้งไฟขึ้นไปบูชาพญาแถนบนฟากฟ้า เพื่อขอให้พญาแถน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งฝน ได้ดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้สรรพสิ่งบนผืนโลกได้ดำเนินวีถีชีวิตไปตามครรลองที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะผู้คนบนผืนดินอีสาน ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำใร่ทำนามาช้านาน ต้องอาศัยข้าวและพืชผลทางการเกษตรในการหล่อเลี้ยง ดำรงชีวิตมาโดยตลอด น้ำฝนจากฟ้าจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คืองานประเพณีแห่ และจุดบั้งไฟจึงถูก สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นความหวัง และกำลังใจ ของชาวอีสานมาโดยตลอด
งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรจัด ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือบุญเดือนหก จัดขึ้นเป็นประจำปีทุกปี ในช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะถึงฤดูลงมือทำนา ทำไมงานบุญบั้งไฟของชาวยโสธรถึงน่าสนใจ เนื่องจากบุญบั้งไฟของชาวยโสธรเป็นบุญบั้งไฟนานาชาติโดยมีบั้งไฟจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงานทุกปี ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมจำนวนมาก มีการประกวดแห่เซิ้งบั้งไฟ บั้งไฟสวยงาม ประกวดกองเชียร์ การประกวดธิดาบั้งไฟโก้ ฯลฯ
ประเพณีบุญบั้งไฟตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง ๗ เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตายและได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบแต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย
ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว
หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้
ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว
หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้
กำหนดการจัดงาน วันที่ 13-15 พฤษภาคม 2554
วันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ชมการประกวดกองเชียร์
วันที่ 14 พฤษภาคม 2554 ชมการประกวดขบวนรำเซิ้ง และ บั้งไฟสวยงาม
วันที่ 15 พฤษภาคม 2554 ชมการจุดบั้งไฟ ณ ฐานจุดบั้งไฟ สวนสาธารณะพญาแถน
วันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ชมการประกวดกองเชียร์
วันที่ 14 พฤษภาคม 2554 ชมการประกวดขบวนรำเซิ้ง และ บั้งไฟสวยงาม
วันที่ 15 พฤษภาคม 2554 ชมการจุดบั้งไฟ ณ ฐานจุดบั้งไฟ สวนสาธารณะพญาแถน
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
วัดพระแก้วเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของไทยที่แขกไปใครมาต้องมาสักการะสถานที่แห่งนี้
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)
พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี
ขอบคุณที่มา : หนังสืออ้างอิง : นำชมกรุงรัตนโกสินทร์
(เนื่องในงานสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี) โดย กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๕
: http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watprasiratana.php
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว
ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)
พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี
ขอบคุณที่มา : หนังสืออ้างอิง : นำชมกรุงรัตนโกสินทร์
(เนื่องในงานสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี) โดย กองโบราณคดี กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๕
: http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watprasiratana.php
วัดที่สวยงามที่้สุด วัดร่องขุ่น
เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในประเทศในในสายตาเราเลยก็ว่าได้วัดร่องขุ่น
โดยเมื่อไปจังหวัดเชียงรายจะอยู่ซ้ายมือ แปลกใจใช่ไหมหล่ะว่าทำไม วัดสีขาว
วัดนี้้เป็นวัดที่ออกแบบก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้
โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร
จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ติดต่อตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ๕๗๐๐๐
โทร (๐๕๓) ๖๗๓-๕๗๙
ทุกท่านสามารถสอบถามข้อมูลเส้นทางสถานที่ท่องเที่ยวหรือข้อมูลวัดเพิ่มได้ http://th.wikipedia.org/wiki/วัดร่องขุ่น
ที่มา http://www.xn--72c4ababn5dxb1az5d1ae6muebf.com/
โดยเมื่อไปจังหวัดเชียงรายจะอยู่ซ้ายมือ แปลกใจใช่ไหมหล่ะว่าทำไม วัดสีขาว
วัดนี้้เป็นวัดที่ออกแบบก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้
โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร
จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ติดต่อตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ๕๗๐๐๐
โทร (๐๕๓) ๖๗๓-๕๗๙
ทุกท่านสามารถสอบถามข้อมูลเส้นทางสถานที่ท่องเที่ยวหรือข้อมูลวัดเพิ่มได้ http://th.wikipedia.org/wiki/วัดร่องขุ่น
ที่มา http://www.xn--72c4ababn5dxb1az5d1ae6muebf.com/
วัดใหญ่ชัยมงคล
วัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (วัดเจ้าพระยาไท หรือ วัดป่าแก้ว) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก ถ้ามาจากตัวเมืองข้ามสะพานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และวจะเห็นพระเจดีย์วัดสามปลื้มอยู่กลางสี่แยก เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็จะเห็นป้ายมีทางแยกซ้ายมือหรือหากมาทางถนนสายเอเชีย เลี้ยวเข้าแยกอยุธยาแล้ว พบพระเจดีย์ใหญ่กลางถนนก็เลี้ยวซ้าย วัดนี้ตามข้อมูลประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมื่อ พ.ศ.1900 พระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง “วัดป่าแก้ว” ขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงศพ “เจ้าแก้วเจ้าไท” ในการสร้างวัดป่าแก้วครั้งนี้ ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ขึ้นคู่กับพระวิหารด้วย
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริมพระเจดีย์ให้ใหญ่และสูงขึ้นพร้อมๆกับการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีที่ตำบลหนองสาหร่ายจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า “วัดชัยมงคล” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดใหญ่ชัยมงคล” วัดนี้ร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้าย แล้วเพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้
ที่มา http://www.guidetourthailand.com/ayutthaya/places-wat-yaichaimongkol.php
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริมพระเจดีย์ให้ใหญ่และสูงขึ้นพร้อมๆกับการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีที่ตำบลหนองสาหร่ายจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า “วัดชัยมงคล” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดใหญ่ชัยมงคล” วัดนี้ร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้าย แล้วเพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้
ที่มา http://www.guidetourthailand.com/ayutthaya/places-wat-yaichaimongkol.php
เกาะทะลุ...สวรรค์ใส ๆ กลางอ่าวไทย
ต้อนรับลมร้อนแห่งเดือนเมษาด้วยทริปเที่ยวทะเล สู่เกาะเล็ก ๆ กลางอ่าวไทยที่มากมายไปด้วยความสนุก
เสียงสายลมเกรียวกราวพัดยอดมะพร้าวแข่งกับเสียงเกลียวคลื่น คือสัมผัสแรกเมื่อมาถึงบางสะพานน้อย อำเภอแสนน่ารักแห่งประจวบคีรีขันธ์ ด้วยว่าที่นี่มีหาดทรายยาวเหยียดงามตา เรามุ่งหน้าสู่ท่าเรือบ้านมะพร้าว ลงเรือยอชต์สีขาวสองชั้นมุ่งหน้าฝ่าแดดลมโล้คลื่นสู่ "เกาะทะลุ" ที่มีหาดทรายขาว น้ำใสแจ๋ว ปะการังสวยไม่แพ้ฝั่งทะเลอันดามันแม้แต่น้อย
มหัศจรรย์เกาะทะลุ
เพียง 20 กว่านาที เรือก็เทียบท่าบนเกาะทะลุ ฟ้าใสแจ่มเป็นสีครามเข้ม แสงอาทิตย์ส่องทะลุผืนทะเลมรกตลงไปเห็นฝูงปลาตัวน้อยแหวกว่ายอยู่นับพัน ๆ บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทะเลที่ยังมีอยู่มาก หลังจากอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟต์แสนอร่อยและนั่งพักจนข้าวเรียงเม็ดแล้วก็ได้เวลาเปลี่ยนชุด ลงเรือสปีดโบ๊ตไปดำน้ำและตกหมึก ทว่าก่อนอื่นเราต้องไปชมแลนด์มาร์กและความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของเกาะทะลุกันก่อน นั่นคือ "ช่องทะลุ" ซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงขนาดใหญ่ทะลุถึงกันสองด้านแอบอยู่ใต้เพิงผาคล้ายสะพานหิน อันเกิดจากการสึกกร่อนเพราะคลื่นลมกัดเซาะอยู่นับพัน ๆ หมื่น ๆ ปี หากเรานำแผนที่เกาะทะลุมากางดูจะเห็นว่า เกาะแห่งนี้มีรูปร่างยาวรี หัวท้ายแหลม ตั้งอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ โดยชายฝั่งด้านตะวันตกก็คือบริเวณที่มีรีสอร์ท อ่าวงาม ๆ และทิวมะพร้าวร่มรื่น ผิดกับฝั่งด้านตะวันออกที่หันออกสู่ทะเลเปิดจะมีแต่ผาหินสีแดง ลงเล่นน้ำไม่ได้เลย
ล่องเรือสำรวจเกาะ
ทางรีสอร์ตพาเราออกเรือเพื่อจะได้ทำความรู้จักกับเกาะทะลุมากขึ้น พบว่าแท้จริงที่นี่มี 4 อ่าวเรียงกันอยู่ด้านตะวันตกของเกาะคือ "อ่าวมุก" อ่าวเล็ก ๆ ที่ยาวเพียง 300 เมตร เต็มไปด้วยความสงบร่มรื่นของทิวมะพร้าวโอนเอน ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมาะมานอนอาบแดดเงียบ ๆ ถัดมาคือ "อ่าวใหญ่" ที่ใหญ่สมชื่อเพราะยาวถึง 900 เมตร เป็นหาดยาวที่สุดบนเกาะทะลุ มีบริการเล่นเรือใบ พายเรือคายัค ถัดไปอีกนิดคือ "อ่าวไทรใหญ่" อันเป็นส่วนของพี่พักและ Beach Bar ที่เราไปนั่งสรวลเสเฮฮากันเมื่อคืน สุดท้ายปลายเกาะด้านใต้คือ "อ่าวเทียน" อ่าวเล็ก ๆ สั้น ๆ มีโขดหินสีเข้มกระจายอยู่ทั่วไป หาดนี้ไม่มีที่พัก จึงเงียบสงบเป็นส่วนตัวที่สุด
ชมปะการัง-ตกหมึก
รู้จักเกาะสวรรค์แห่งนี้กันดีแล้ว จากนั้นความสนุกสนานก็เริ่มขึ้น เราลงดำน้ำดูปะการังกับฝูงปลาอยู่หน้าช่องทะลุ ที่นี่มีปลาแปลก ๆ สีสวย ๆ ผลัดกันแหวกว่ายมาโชว์ เช่นเดียวกับปะการังแข็งหลากชนิด ทั้งปะการังโขด ปะการังเขากวาง และมีหอยมือเสือตัวเป้ง ๆ ดูน่าตื่นตาตื่นใจดี ไม่นานนักเรือก็แล่นเวียนกลับไปทางตะวันตกของเกาะ แล้วหยุดให้พวกเรา "ตกหมึก" ซึ่งส่วนมากเป็นหมึกกระดองที่ว่ายอยู่เป็นฝูง ๆ ในน้ำลึก เราจึงต้องใช้ปลาตัวเล็กเกี่ยวเหยื่อแล้วหย่อนสายเอ็นลงไปในน้ำ เมื่อกระตุกสายเอ็นขึ้นลงเป็นจังหวะ ไม่นานก็มีเสียงเฮเพราะได้หมึกแล้ว "นี่ถ้าออกเรือในคืนเดือนมืด แล้วเปิดไฟเรือล่อไว้รับรองว่าจะได้หมึกเพียบเลย" คนเรือเล่าให้ฟัง
เวลาแห่งความสนุกสนานกับท้องทะเลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอนิดเดียวก็เย็นซะแล้ว เรามาดินเนอร์ริมหาดในร้านอาหารกลางแจ้งแสนโรแมนติก ลมทะเลพัดโชยชื่นใจพร้อมกับละเลียดชิมอาหารทะเลสด ๆ อร่อย ๆ ไปด้วย จากนั้นไปนั่งเล่นกันต่อที่ Beach Bar อ่าวใหญ่ ฟังเพลงเบา ๆ เคล้าธรรมชาติช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแสนสุขให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ที่นี่ยังมีบริการสอนดูดาวที่กระจ่างอยู่เต็มฟ้าด้วยหากคุณยังไม่ง่วงจนเกินไป
อำลาเกาะทะลุ
วัดถัดมาหลังอาหารเช้า เราออกไปสำรวจเกาะกันต่อ พร้อมกับทำกิจกรรมจิตอาสา ช่วยกันปลูกปะการังกลับคืนสู่ท้องทะเล ด้วยการนำก้านปะการังอ่อนติดไว้กับท่อพีวีซี แล้วให้นักประดาน้ำดำลงไปวางไว้ในทะเล รอวันให้มันเติบโตขึ้นทีละน้อยเป็นสมบัติล้ำค่าต่อเติมชีวิตใต้ห้วงน้ำสีครามต่อไป
เราเดินฝ่าแดดใสกลับมาถึง Beach Bar รีบสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ มาเรียกความสดชื่นคลายร้อน ระหว่างนั่งคุยกันมีประโยคหนึ่งสะกิดใจ "เช้าสบาย สายสนุก ทุกข์ไม่มีที่เกาะทะลุ..." เอ้อ...จริงด้วยนะ ตั้งแต่มาถึงที่นี่เรามีแต่ความสุข ยังไม่มีใครบ่นว่าเบื่อหรืออยากกลับบ้านเลย นี่สิ "เกาะสวรรค์กลางอ่าวไทย" หนึ่งในหัวใจเราอย่างแท้จริง
Fast Fact
ฤดูกาล : เกาะทะลุเที่ยวได้ตลอดปี แต่อากาศดีที่สุดช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ท้องฟ้าใส คลื่นลมสงบดี
การเดินทาง : ช่วงแรก เดินทางด้วยรถยนต์ เริ่มจากอำเภอเมืองประจวบฯ -อำเภอบางสะพานน้อย ระยะทาง 110 กม. ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 จากนั้น เลี้ยวซ้ายที่ กม. 399 เข้าถนนสาย 3497 ผ่านโรงพยาบาลและที่ว่าการอำเภอบางสะพานน้อย จนถึงท่าเรือบ้านปากคลอง หรือท่าเทียบเรือบ้านมะพร้าวรีสอร์ท ซึ่งมีอาคารสำนักงานของเกาะทะลุ รีสอร์ทตั้งอยู่ ช่วงที่สอง นั่งเรือข้ามจากฝั่งไปเกาะทะลุ ถ้าไม่ได้ซื้อแพ็กเกจของเกาะทะลุ รีสอร์ทก็ต้องเหมาเรือประมงของชาวบ้าน ไปดำน้ำแบบ One-Day ค่าเช่าเรือ 3,000-4,000 บาท (ควรเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำไปเอง) แต่ถ้าซื้อแพ็กเกจทัวร์ของเกาะทะลุ รีสอร์ท จะมีบริการพาไปดำน้ำด้วย
ที่พัก : เกาะทะลุเป็นเกาะส่วนตัว มีรีสอร์ทอยู่แห่งเดียว คือ Koh Talu Island Resort สำนักงานหัวหิน โทร. 032-442-636, 08-9744-5639, 08-9744-7995 สำนักงานอำเภอบางสะพานน้อย โทร. 08-9918-3715 www.taluisland.com บนเกาะมีอาหารบริการครบสามมื้อ สำหรับผู้ที่ซื้อแพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน ส่วนใครที่ซื้อแพ็กเกจ One-Day Trip ก็มีบริการอาหารและเครื่องดื่มอย่างครบครัน
Credit : http://travel.kapook.com/view39939.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)